08 กุมภาพันธ์ 2555
04 กุมภาพันธ์ 2555
22 กรกฎาคม 2554
ใบ ( Leaves )
ลักษณะโครงสร้างภายในของใบ
ส่วนประกอบของใบมี 3 ส่วนคือ แผ่นใบ ( blade หรือ lamina ) ก้านใบ ( petiole ) และหูใบ ( stipule )
![]() |
ภาพ โครงสร้างของใบ |
1.1เส้นใบ ( vein ) ให้สังเกตเส้นกลางใบ ( midrib ) ซึ่งต่อเป็นเนื้อเดียวกับก้านใบ จากเส้นกลางใบแยกออกเป็นเส้นใบ ซึ่งจะแยกแขนงออกไปอีกเป็นเส้นแขนงใบ ( vientet )
การเรียงของใบ ( venation )
เส้นใบแบบขนาน ( parallel venation )พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แบ่งเป็นเรียงตามยาวของใบ (plamately parallel venation) และเส้นใบขนานกันตามขวางของใบ ( pinately parallel venation )




ส่วนของใบเลี้ยงคู่เป็นแบบตาข่าย ( netted หรือ recticulated venation ) ซึ่งมี 2 แบบคือ - แบบตาข่ายขนนก ( pinnately netted venation ) - ตาข่ายแบบรูปมือ ( palmately netted venation ) |

2. ก้านใบ ( petiole )
ติดกับแผ่นใบตรงฐานใบ ยกเว้นบางชนิดก้านใบติดตรงกลางหรือตรงด้านในของแผ่นใบ ก้านใบสั้นบ้าง ยาวบ้าง หรือไม่มีก้านใบเลย เรียก sessile leaf ก้านใบโดยมากมีลักษณะกลม ใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด ก้านใบแผ่หุ้มลำต้นเรียกกาบใบ ( leaf sheath )

ภาพ ก้านใบ |
3. หูใบ ( stipule )
![]() |
ภาพ หูใบ |
การจัดเรียงของใบบนต้น ( leaf arrangment ) ใบที่ออกมาจากส่วนของลำต้น แบ่งออกได้กว้าง ๆ 3 แบบคือ 1.แบบสลับ ( alternate หรือ spiral ) 2.แบบตรงข้าม ( opposite ) และ3. แบบวง ( whorled )

ภาพ ใบเดี่ยว
2.ใบประกอบ (compound leaf )คือใบที่มีแผ่นใบมากกว่าหนึ่งเกิดบนก้านใบอันเดียวกันแต่ละใบ เรียกว่าใบย่อย ( leaflet ) ก้านของใบย่อยเรียกว่า petiolule หรือ petiolet ใบเดี่ยวหรือใบประกอบสังเกตได้โดยใบเดี่ยวมีตาข้าง ( arillary bud ) หรือ ตายอด ( terminal bud ) อาศัยดูความอ่อนแก่ของใบ ถ้าเป็นใบประกอบจะแก่พร้อม ๆ กัน แต่ถ้าเป็นกิ่งของใบเดี่ยว ใบตอนโคนจะแก่กว่าใบตอนปลายกิ่ง ใบประกอบแยกออกได้ดังนี้
2.1)ใบประกอบแบบขนนก ( pinnately compound leaf ) มีใบย่อยออก 2 ข้างของแเกนกลาง ( rachis) ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อกับก้านใบ ใบประกอบมีใบย่อยออกแกนกลาง 2 ครั้ง เรียกใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ( bipinnately compound leaf ) แกนของใบประกอบใบย่อยแยกออกจากแกนกลาง นี้เรียก rachilla พืชบางชนิดมีใบประกอบแบบ tripinnately compound leaf คือมีการแตกแขนงของใบ ย่อยเช่นเดียวกับใบประกอบแบบขนนกสองชั้นแต่เพิ่มมาอีก หนึ่งชั้น
ภาพ ใบประกอบแบบขนนก
2.2)ใบประกอบแบบรูปมือ ( palmately compound leaf ) คือใบประกอบที่มีใบย่อยทุกใบออกมาจากตำเหน่งเดียวกันตรงปลายก้านใบ ใบประกอบแบบนี้ถ้ามี 3 ใบย่อยเรียก trifoliolate ถ้ามี 4 ใบเรียก quadrifoliolate และถ้ามีใบย่อยมากกว่านี้เรียก polyfoliolate trifoliolate อาจเป็นใบประกอบแบบขนนกถ้ามี rachis
ภาพ ใบประกอบรูปมือ
โครงสร้างภาคตัดขวางของใบแท้ ประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน คือ
2.1 ชั้นเอพิเดอร์มิส (Epidermis) มี 2 ด้านคือเอพิเดอร์มิสด้านบน(Upper epidermis) กับ เอพิเดอร์มิสด้านล่าง (Lower epidermis)
2.2 ชั้นมีโซฟีลล์ (Mesophyll) แบ่งออกเป็น 2 ชั้นย่อยคือ พาลิเสดมีโซฟีลล์(Palisade mesophyll) และ สปองจีมีโซฟีลล์ (Spongy mesophyll)
2.3 มัดท่อลำเลียง (Vascular bundle) ประกอบด้วย Xylem กับ Phloem โดยไซเล็มจะอยู่ด้านบน ส่วน Phloem จะอยู่ด้านล่างโดยมีบัลเดิลชีทล้อมรอบ


ภาพ โครงสร้างของใบ
2. ใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่พิเศษ (Modified leaf) ได้แก่

ภาพ มือเกาะของมะระ

![]() |
![]() |
![]() |
![]() |

![]() |
2.4 ใบเกล็ด (Scale leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเกล็ดเล็กๆ ใบเกล็ดมักไม่มี คลอโรฟิลล์ เช่น เช่นใบเกล็ดของขิง ข่า เผือก
![]() |
![]() |
![]() |
ภาพ ทุ่นลอยของผักตบชวา |
![]() |
![]() |
![]() | ||
ภาพ ใบประดับของต้นคริสต์มาส (Poinsettia) |
2.7 ใบสืบพันธุ์ เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงมาเพื่อสืบพันธุ์ เพื่อช่วยในการแพร่พันธุ์ เช่น ใบของต้นตายใบเป็น
![]() | |
ภาพ ใบสืบพันธุ์ของต้นตายใบเป็น |
2.8 กับดักแมลง เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง หรือสัตว์เล็ก ภายในกับดักจะมีต่อมสร้างน้ำย่อยอาหารจำพวก โปรตีน เช่นต้นกาบหอยแคลง หยาดน้ำค้าง สาหร่ายข้าวเหนียว หม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น
![]() |
![]() |
![]() |
![]() | |
ภาพ ต้นหยาดน้ำค้าง |
![]() ![]() | |
ภาพ ใบำดักของต้นกาบหอยแคลง |
![]() ![]() | |
ภาพ ต้นกาบหอยแคลง |
โครงสร้างภายนอกและภายในของใบ : )
1. โครงสร้างภายนอกของใบ
ใบของพืชส่วนใหญ่ประกอบด้วยส่วนแบนๆ ที่แผ่ขยายออกไปเรียกว่า แผ่นใบ (blade) และมีก้านใบ(petiole) เชื่อมติดอยู่กับลำต้นหรือกิ่งทางด้านข้าง และอาจมีหูใบ (stipule) ที่โคนก้านใบ การที่ใบพืชมีลักษณะแบนมีประโยชน์ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการรับแสงเพื่อให้ได้พลังงานไปใช้ในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยในการระบายความร้อน โดยทั่วๆไปใบของพืชมีสีเขียวเนื่องจากคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นสารรับสีที่รับพลังงานแสง แต่ใบบางชนิดมีสีแดงหรือม่วง เป็นเพราะภายในใบมีการสร้างสารสีอื่นๆ เช่น แอนโทไซยานิน (anthocyanin) แคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งถ้ามีมากกว่าคลอโรฟิลล์จะทำให้ใบมีสีแดงหรือเหลือง
ในพืชใบเลี้ยงคู่จะมีเส้นใบ (vein) แตกแขนงออกมาจากเส้นกลางใบ (midrib) เพื่อให้การลำเลียงสารต่างๆ จากท่อลำเลียงไปสู่ทุกๆ เซลล์ของใบได้ทั่วถึง ก้านใบของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอาจเป็นกาบที่มีเส้นใบขนาดใหญ่เรียงขนานกันจนถึงปลายใบ พืชบางชนิดเส้นใบย่อยแตกแขนงตั้งฉากกับเส้นใบใหญ่ เช่น ใบกล้วย และเส้นใบย่อยก็ยังเรียงขนานกันเองอีกด้วย
2. โครงสร้างภายในของใบ
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ เช่นเดียวกับลำต้น
1. เอพิเดอร์มิส เป็นเนื้อเยื่อผิว มีทั้งด้านบนและด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียวหรือหลายชั้น ได้แก่ เซลล์ผิว เซลล์ขน หรือเปลี่ยนไปเป็นเซลล์คุม (guard cell) ภายในเซลล์ผิวมักไม่ค่อยมีคลอโรพลาสต์หรือมีน้อยยกเว้นเซลล์คุม เซลล์ผิวมีคิวทินเคลือบอยู่ที่ผนังเซลล์ด้านนอกเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำออกจากใบ เซลล์คุมมีรูปร่างคล้ายไตหรือเมล็ดถั่ว 2 เซลล์ประกบกัน พืชที่ใบลอยปริ่มน้ำ เช่น บัวสาย จะมีปากใบ (stoma) อยู่เฉพาะทางด้านบนของใบเท่านั้น ส่วนพืชที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ เช่น สาหร่ายหางกระรอกจะไม่มีปากใบและไม่มีคิวทินฉาบผิว ใบพืชบางชนิดมีปากใบทั้งด้านบนและด้านล่าง เช่น ใบข้าวโพด
2. มีโซฟิลล์ (mesophyll) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างชั้นเอพิเดอร์มิสทั้ง 2 ด้าน ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่มีคลอโรพลาสต์จำนวนมาก โดยทั่วไปพาเรงคิมาในพืชใบเลี้ยงคู่จะมีเซลล์ 2 แบบ ทำให้โครงสร้างภายในแบ่งเป็น2 ชั้นคือ
2.1 แพลิเซดมีโซฟิลล์ (palisade mesophyll) มักพบอยู่ใต้ชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบน ประกอบด้วยเซลล์รูปร่างยาว เรียงตัวเป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบคล้ายรั้วอาจมีแถวเดียวหรือหลายแถว ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์ค่อนข้างหนาแน่นมาก
2.2 สปันจีมีโซฟิลล์ (spongy mesophyll) อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงมาจนถึงชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอนเรียงตัวในทิศทางต่างๆ กัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์หนาแน่นแต่น้อยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์
3. มัดท่อลำเลียง ประกอบด้วยไซเลมและโฟลเอ็ม โดยไซเลมและโฟลเอ็มจะเรียงติดต่อถึงกันอยู่ในเส้นใบ พืชบางชนิดมัดท่อลำเลียงจะล้อมรอบด้วยบันเดิลชีท (bundle sheath) เช่น ใบข้าวโพด บันเดิลชีทในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อไฟเบอร์ช่วยทำให้มัดท่อลำเลียงแข็งแรงเร็วขึ้น ในพืชบางชนิดมีเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ซึ่งจะมีคลอโรพลาสต์หรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช มัดท่อลำเลียงส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้นสปันจีมีโซฟิลล์
03 ตุลาคม 2553
ประเพณีของภาคเหนือ !!~!

ภาค ภาคเหนือ
จังหวัด ลำพูน
ช่วงเวลา ประเพณีตานก๋วยสลากเป็นการถวายทานโดยไม่เจาะจงผู้รับ จะทำกันตั้งแต่วันเพ็ญเดือน ๑๒ เหนือ(ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ใต้) จนถึงเกี๋ยงดับ (แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ใต้)
♥ ความสำคัญ
ประเพณีตานก๋วยสลากเป็นประเพณีในพุทธศาสนาที่สำคัญอย่างหนึ่งในล้านนาไทย ซึ่งสืบเนื่องมาจากค่านิยมที่สืบทอดมาช้านานคือ
๑. ประชาชนว่างจากภารกิจการทำนา
๒. ประชาชนหยุดพักไม่เดินทางไกลเพราะเป็นฤดูฝน
๓. พระสงฆ์จำพรรษาอยู่อย่างพรักพร้อม
๔. ผลไม้มากและกำลังสุก เช่นส้มโอ ส้มเกลี้ยง กล้วย อ้อยฯลฯ
๕. ได้โอกาสสงเคราะห์คนยากจน เป็นสังฆทาน
๖. ถือว่ามีอานิสงส์แรง คนทำบุญจะมีโชคลาภ
๗. มีโอกาสหาเงินและวัสดุบำรุงวัด
♥ ก๋วยสลากแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. สลากน้อย หรือก๋วยเล็ก ใช้อุทิศแด่ผู้ตาย หรือเป็นกุศลมากขึ้น
๒. สลากก๋วยใหญ่ หรือสลากโชค หรือเป็นสลากที่บรรจุในก๋วยใหญ่ใช้เป็นมหากุศลสำหรับบุคคลที่มีกำลังศรัทธา และมีเงินทองมาก ทำถวายเพื่อเป็นปัจจัยภายหน้า ให้มีบุญกุศลมากขึ้น
♥ พิธีกรรม
พิธีกรรมในประเพณีตานก๋วยสลากมี ๒ วัน คือ
๑. ก่อนทำพิธี"ตานก๋วยสลาก" ๑ วัน เรียกว่าวันดาเป็นวันจัดเตรียมสิ่งของเพื่อใส่ในก๋วยสลาก ผู้ชายจะตัดไม้มาจักตอกสลากก๋วย (ชะลอม) ไว้หลายๆใบตามศรัทธาและกำลังทรัพย์ ฝ่ายหญิงจะจัดเตรียมสิ่งของที่จะนำมาบรรจุในก๋วย เช่นข้าวสาร พริกแห้ง หอม กระเทียม เกลือ กะปิ น้ำปลา ขนม เมี่ยง บุหรี่ ไม้ขีดไฟ เทียนไข สีย้อมผ้า ผลไม้ รวมทั้งเครื่องใช้ต่าง ๆ แล้วบรรจุลงในก๋วยสลากที่กรุด้วยใบตอง ใบหมากผู้หมากเมีย"ใส่ยอด" คือธนบัตร ผูกติดไม้ เสียบไว้ในก๋วยให้ส่วนยอดหรือธนบัตรโผล่มาแล้วรวบปากก๋วยสลากตกแต่งด้วยดอกไม้ "ยอด" หรือธนบัตรที่ใส่นั้นไม่จำกัดว่าเป็นจำนวนเท่าใดส่วนสลากโชคหรือสลากก๋วยใหญ่ ของที่นำบรรจุในก๋วยเช่นเดียวกับสลากน้อยแต่ปริมาณมากกว่าหรือพิเศษกว่า สมัยก่อนจะทำเป็นรูปเรือหลังเล็กมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น หม้อข้าว หม้อแกง ถ้วยแกงถ้วยชาม เครื่องนอน เครื่องนุ่งห่ม อาหารสำเร็จรูปใส่ไว้ด้วย มีต้นกล้วย ต้นอ้อยผูกติดไว้ "ยอด" หรือธนบัตรจะใส่มากกว่าสลากน้อยก๋วยสลากทุกอันต้องมี "เส้นสลาก" ซึ่งทำจากใบลานหรือปัจจุบันใช้กระดาษมาตัดเป็นแผ่นยาวๆ เขียนชื่อเจ้าของไว้ และยังบอกอีกว่าจะอุทิศไปให้ใคร เช่น " สลากข้างซองนี้ หมายมีผู้ข้า นาย... นาง ขอทานไปถึงกับตนภายหน้า " หมายถึงถวายทานเพื่อเป็นกุศลแก่ตนเองเมื่อล่วงลับไป และอีกแบบหนึ่ง คือ"สลากข้าวซองนี้ หมายมีผู้ข้านาย.....นาง.....ขอทานไปถึงยังนาย/นาง....(ชื่อผู้ตาย) ผู้เป็น.......(ความเกี่ยวข้องกับผู้ให้ทาน)ที่ล่วงลับ ขอให้ไปรอดไปถึงจิมเต่อ" หมายถึงอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ในวันดาสลาก จะมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงจากหมู่บ้านต่างๆ ที่รู้จักมาร่วมทำบุญ โดยนำเงินหรือผลไม้เช่น กล้วย อ้อย ฯลฯ มาร่วมด้วยและช่วยจัดเตรียมสิ่งของใส่ก๋วยสลาก เจ้าภาพต้องเลี้ยงดูอาหาร เหล้ายาและขนม
๒. วันทานสลาก ชาวบ้านนำก๋วยสลากที่จัดทำแล้วไปวัด และเอา"เส้นสลาก" ทั้งหมดไปรวมกันที่หน้าพระประธานในวิหาร จะมีการฟังเทศน์อย่างน้อย ๑ กัณฑ์ ผู้รวบรวมสลากมักจะเป็นมัคทายก (แก่วัด) นำเส้นสลากทั้งหมดมารวมกันแล้วแบ่งเส้นสลากทั้งหมด เป็น ๓ ส่วน(กอง) ส่วนหนึ่งเป็นของพระเจ้า (คือของวัด)อีก ๒ ส่วนเฉลี่ยไปตามจำนวนพระภิกษุสามเณรที่นิมนต์มาร่วมในงานทำบุญ หากมีเศษเหลือมักเป็นของพระเจ้า (วัด) ทั้งหมดพระภิกษุสามเณรเมื่อได้ส่วนแบ่งแล้ว จะยึดเอาชัยภูมิแห่งหนึ่งในวัดและออกสลากคือ อ่านชื่อเส้นสลากดังๆ หรือให้ลูกศิษย์(ขะโยม) ที่ได้ตะโกนตามข้อความที่เขียนไว้ในเส้นสลาก หรือเปลี่ยนเป็นคำสั้นๆเช่น ศรัทธา นายแก้ว นามวงศ์ มีนี่เน้อ " บางรายจะหิ้ว "ก๋วย" ไปตามหาเส้นสลากของตนตามลานวัดเมื่อพบสลากของตนแล้วจะเอาสลากของตนถวายพระ พระจะอ่านข้อความในเส้นสลากและอนุโมทนาให้พรแล้วคืนเส้นสลากนั้นให้เจ้าของสลากไป เจ้าของสลากจะนำเส้นสลากไปรวมในวิหาร เมื่อเสร็จแล้วมัคทายกหรือแก่วัด จะนำเอาเส้นสลากนั้นไปเผาหรือทิ้งเสีย
♥ สาระ
การตานก๋วยสลากมีประโยชน์และคุณค่าดังนี้
๑. เป็นการสร้างความสามัคคีกันของคนในหมู่บ้านใกล้เคียง
๒. เป็นการแสดงความกตัญญูต่อญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว
๓. เป็นการบริจาคทานที่ถือว่ามีอานิสงส์มาก
๔. เป็นการหาเงินและวัสดุมาบูรณะปฏิสังขรณ์วัด
27 กันยายน 2553
โ ร ค ค ว า ม ดั น โ ล หิ ต ต่ำ ^ ^
โรคความดันโลหิตนั้นไม่ได้มีแค่ความดันโลหิตสูง เท่านั้น แต่ภาวะความดันโลหิตต่ำก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราความดันต่ำจะทำให้คุณเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนแรง เป็นลมได้ง่าย และมีอาการวิงเวียนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปลี่ยนท่าจากท่านอน มาเป็นยืนหรือนั่ง
สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำ
§ สาเหตุส่วนใหญ่ของภาวะความดันโลหิตต่ำ คือ ภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี ทำให้เนื้อเยื่อรอบๆผนังหลอดเลือดแดงไม่แข็งแรง และคลายตัวมากเกินไป
§ การสูญเสียโลหิต ทั้งแบบกะทันหัน เช่นอุบัติเหตุ หรือการสูญเสียโลหิตแบบเรื้อรัง เช่น บาดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้หรือที่ไต
§ การสูญเสียน้ำ เช่น เหงื่อ ท้องเสีย
§ การติดเชื้อรุนแรง
§ โรคหัวใจ
§ การตั้งครรภ์
§ ภาวะซึมเศร้า
♥ การบำบัดภาวะความดันโลหิตต่ำ
Ø การดื่มน้ำคั้นบีทรูทสด วันละ1-2 แก้ว สามารถช่วยปรับความดันได้เป็นอย่างดี
Ø รับประทานอาหารที่มีโปรตีน วิตามินบี และวิตามินซีอย่างเพียงพอ เพราะอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนต่อมหมวกไต ช่วยในการปรับระดับความดันโลหิตให้สูงขึ้น
Ø การอาบน้ำหรือการแช่ตัวในน้ำเกลือ Epsom (เกลือแมกนีเซียมซัลเฟต) โดยละลายเกลือกับน้ำในอัตราส่วน 1: 1 เกลือชนิดนี้มีขายทั่วไปตามร้านขายยา และนิยมใช้แช่ตัวในขบวนการล้างพิษอีกด้วยเนื่องจากเกลือชนิดนี้สามารถช่วยบรรเทาอาการคัน อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และช่วยชะล้างสารพิษ สำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ การแช่ตัวในน้ำเกลือ Epsom ประมาณ 10 – 20 นาทีก่อนนอน จะช่วยปรับความดันให้สูงขึ้น
Ø นำลูกเกด 32 เม็ดมาแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้นเมื่อตื่นเช้ามา ให้เคี้ยวลูกเกดทีละเม็ดร่วมกับการดื่มน้ำ
Ø บดใบกระเพรา 10 –15 ใบมาบดและผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา รับประทานเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
Ø โยคะ ท่าโยคะบางท่าสามารถช่วยปรับสมดุลความดันได้ดี ในกรณีที่มีปัญหาความดันโลหิตต่ำ
1. ท่าshoulder stand
เริ่มจากนอนหงายราบกับพื้น วางมือคว่ำไว้ข้างลำตัว หายใจเข้าพร้อมกับออกแรงวางมือไว้ที่พื้นพร้อมกับดันขาขึ้นจากพื้น ค่อยๆยกสะโพกและหลังขึ้นจากพื้น ค่อยๆหายใจออกพร้อมกับขยับมือจากพื้นมาวางพยุงที่หลังไว้ ค่อยๆปรับให้ขาและหลังตรงอยู่ในแนวเดียวกัน จะรู้สึกว่าคางสัมผัสกับอยู่บริเวณคอหอย หายใจเข้า-ออกลึกๆ เป็นจังหวะ
2. ท่า plough
เป็นท่าต่อเนื่องจากshoulder stand คือหลังจากที่ค้างให้แผ่นหลังและขาอยู่ในระนาบเดดียวกันในแนวตั้งสักพัดแล้ว เราจะค่อยๆวางขาลงที่พื้น ( เคลื่อนขาผ่านศีรษะไป) แล้ววางปลายเท้าลงที่พื้นโดยที่ขาทั้ง2ข้างอยู่ในท่าเหยียดตรง
3. การฝึกหายใจ มีผลต่อสมดุลของความดันโลหิต วิธีนี้สามารถฝึกได้ทั้งผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและความดันต่ำ
โยคะ เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งมีทุกท่าทางการเคลื่อนไหว มีความสัมพันธ์กับการหายใจ จะเป็นการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ มีจังหวะ และรวบรวมสมาธิไว้ ณ จุดหนึ่ง โดยแต่ละท่าจะเป็นการยืดและเหยียดกล้ามเนื้อทั้งสองข้าง ผู้ฝึกจะมีความเชื่อว่าลมหายใจเป็นแหล่งกำเนิดของพลังงานทั้งหลายที่ร่างกายนำไปใช้ ดังนั้นการหายใจขณะฝึกโยคะจะเป็นการหายใจลึกๆ ช้าๆ เป็นจังหวะ และเมื่อหายใจเข้าสุดแล้วจะกลั้นลมหายใจไว้ขณะหนึ่งก่อนที่จะหายใจออกอย่างช้าๆและเป็นจังหวะเช่นกัน โยคะจึงจัดเป็นศาสตร์ที่คงไว้ซึ่งความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ
การฝึกหายใจอย่างสมบูรณ์ สามารถฝึกด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้
v เริ่มจากนอนหงายหน้า วางมือไว้บนท้อง ขณะหายใจเข้าทางจมูก ให้สังเกตว่าหน้าท้องมการพองขึ้น โดยดูจากนิ้วที่แยกห่างออกจากกัน ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก
v เลื่อนมือมาไว้ที่กระดูกซี่โครง ตอนนี้ให้หายใจเข้าแล้วสังเกตการขยายตัวของกระดูกซี่โครงแทน โดยดูจากนิ้วที่แยกห่างออกจากกัน ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก
v เลื่อนมือมาวางไว้ที่คอ หายใจเข้าโดยพยายามใช้หน้าอกช่วงบนเท่านั้น จะสังเกตเห็นว่านิ้วจะถือยกสูงขึ้นขณะหายใจเข้า และค่อยๆปล่อยลมหายใจออก
v วางมือทั้ง 2 ข้างไว้ข้างลำตัว โดยหงายมือขึ้น และทำการหายใจทั้ง 3 ขั้นที่ผ่านมา เริ่มจากหายใจเข้าให้หน้าท้องพองขึ้น หายใจออก จากนั้นใช้กล้ามเนื้อกะบังลม และกล้ามเนื้อหน้าอกตามลำดับ
สมดุลของการหายใจ (นาดิ โสดานา)
นาดิ โสดานา เป็นศาสตร์หนึ่งที่พัฒนามาจากโยคะประเภทปราณยามา ซึ่งเป็นการฝึกหายใจโดยตรง เป็นการหายใจเข้า-ออกด้วยรูจมูกข้างเดียว ซึ่งจะส่งผลถึงระบบประสาทและสร้างความสมดุลในการทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา
การฝึกหายใจด้วยวิธีนี้ ควรทำในช่วงเช้าและช่วงเย็น ครั้งละ 5 นาที ซึ่งในการฝึกนั้นไม่ต้องกลั้นลมหายใจ สำหรับวิธีการฝึก มีขั้นตอนดังนี้
v นั่งหลังตรง วางขาทั้ง 2 ข้างราบกับพื้น หลับตา ทำใจให้ผ่อนคลาย
v วางมือขวาไว้บนสันจมูก โดยให้นิ้วโป้งสัมผัสบนจมูกข้างขวา ส่วนนิ้วกลางและนิ้วนาง สัมผัสกับจมูกด้านซ้าย
v ข้อศอกขวาอยู่ชิดลำตัว (อยู่ในท่าที่จะไม่ทำให้เมื่อยแขน ) อย่าวางแขนบนพนักเก้าอี้
v ใช้นิ้วโป้งปิดรูจมูกข้างขวาและหายใจออกด้วยรูจมูกข้างซ้าย แล้วหายใจเข้าด้วยรูจมูกข้างซ้าย
v ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางปิดรูจมูกข้างซ้ายและหายใจออกด้วยรูจมูกข้างขวา แล้วหายใจเข้าด้วยรูจมูกข้างขวา
หมายเหตุ คุณไม่จำเป็นต้องหายใจลึกๆ เพียงแค่หายใจช้าๆก็พอ
v ทำตามขั้นตอนดังกล่าวประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นปล่อยแขนพัก นั่งหลับตาอีกประมาณ 1-2 นาที
สำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ ในตอนแรกอาจจะรู้สึกหมุนศีรษะได้บ้าง และอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้น
11 กันยายน 2553
5 วิ ธี การ ช่วย ลด พุง ดึ๋ง ๆ ^_____^
